Home |
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สโมสรเอฟเวอร์ตันกลายเป็นทีมที่ถูกจับตามองอย่างมากในเวทีพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะผลงานในสนามที่ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาสถานะบนลีกสูงสุดเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการบริหารจัดการทีมและการเสริมทัพนักเตะที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างอนาคตใหม่ให้กับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ภายใต้การคุมทีมของกุนซือที่ต้องรับแรงกดดันมหาศาล การหานักเตะที่สามารถเข้ามายกระดับทีมจึงกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน และหนึ่งในชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ แจ็ค กรีลิช ปีกซ้ายทีมชาติอังกฤษ ที่กำลังถูกยืมตัวมาจากสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้
กรีลิชไม่ใช่นักเตะธรรมดา เขามีดีกรีเป็นถึงนักเตะที่แมนฯ ซิตี้ลงทุนซื้อจากแอสตัน วิลล่าด้วยค่าตัวสูงถึง 100 ล้านปอนด์ในปี 2021 และถือเป็นหนึ่งในแข้งอังกฤษที่มีพรสวรรค์สูงสุดในรุ่นเดียวกัน แม้การค้าแข้งกับซิตี้จะเต็มไปด้วยการแข่งขันและการแย่งชิงตำแหน่งที่ดุเดือด แต่ทุกครั้งที่เขาได้ลงสนาม กรีลิชก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพในการเลี้ยงบอล การสร้างสรรค์โอกาส และความสามารถในการตัดสินเกมด้วยฝีเท้าอันน่าทึ่ง
การที่เอฟเวอร์ตันสามารถดึงกรีลิชมาร่วมทีมแบบยืมตัวในฤดูกาลนี้ จึงถือเป็นดีลที่สร้างความตื่นเต้นอย่างมากให้กับแฟนบอล และทันทีที่ข่าวลือเกี่ยวกับการซื้อขาดถูกเผยแพร่ออกมา กระแสความสนใจก็ยิ่งทวีความร้อนแรงขึ้นกว่าเดิม การจะคว้าตัวนักเตะระดับนี้มาเป็นสมบัติถาวรไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนว่ามีหลายปัจจัยที่เอฟเวอร์ตันต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน
สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่คือเรื่องของ มูลค่าการซื้อขาย แมนฯ ซิตี้ตั้งกรอบราคาการเจรจาไว้ที่ 50 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควรสำหรับสโมสรที่กำลังเผชิญปัญหาการเงินอย่างเอฟเวอร์ตัน อย่างไรก็ตาม บอร์ดบริหารของทอฟฟี่สีน้ำเงินกลับมองว่าการลงทุนในกรีลิชคือสิ่งที่คุ้มค่าในระยะยาว และพร้อมที่จะทำทุกทางเพื่อให้ได้ตัวเขามาเสริมทัพแบบถาวร
ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกถึงสาเหตุที่ทำให้เอฟเวอร์ตันต้องการคว้าตัวกรีลิชเป็นสิทธิขาด เงื่อนไขการเจรจาที่อาจทำให้ดีลนี้เกิดขึ้นจริง ผลกระทบที่จะตามมาหากสามารถปิดดีลได้ รวมไปถึงอุปสรรคที่สโมสรต้องเผชิญและกลยุทธ์ในอนาคต ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่า การเซ็นสัญญากรีลิชคือ “หมากสำคัญ” ที่เอฟเวอร์ตันจะต้องเดินให้ถูกต้อง หากต้องการสร้างอนาคตที่มั่นคงในพรีเมียร์ลีก
เมื่อพูดถึงการเสริมทัพในพรีเมียร์ลีก หนึ่งในปัจจัยที่สโมสรจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบด้านคือการหานักเตะที่ไม่เพียงแค่เก่งในเชิงเทคนิค แต่ยังต้องสามารถเข้ามายกระดับทีมได้ทันที สำหรับ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งกำลังต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและหวังจะกลับมาเป็นทีมที่มีลุ้นพื้นที่ยุโรป การเลือกเป้าหมายอย่าง แจ็ค กรีลิช จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางหมากที่ชัดเจน
กรีลิชถือเป็นหนึ่งในนักเตะอังกฤษที่มีเทคนิคการเล่นอันโดดเด่น โดยเฉพาะการเลี้ยงบอลที่สามารถพาบอลผ่านแนวรับได้อย่างชาญฉลาด ความสามารถในการครองบอลในพื้นที่แคบ ๆ และการสร้างจังหวะให้เพื่อนร่วมทีม เป็นสิ่งที่เอฟเวอร์ตันขาดหายไปมานาน ตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา ทอฟฟี่สีน้ำเงินมักประสบปัญหาในเรื่องการสร้างสรรค์เกมรุก ขาดนักเตะที่สามารถ “สร้างความแตกต่าง” ได้ ซึ่งกรีลิชตอบโจทย์ตรงนี้อย่างชัดเจน
หนึ่งในปัญหาหลักของเอฟเวอร์ตันคือการขาดผู้เล่นริมเส้นที่สามารถสนับสนุนกองหน้าได้อย่างต่อเนื่อง แม้ทีมจะมีผู้เล่นอย่างโดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน แต่เขามักถูกทิ้งให้ทำเกมคนเดียวในแดนหน้า หากกรีลิชเข้ามา เขาสามารถป้อนบอล ตัดเข้าใน และสร้างโอกาสยิงได้ด้วยตัวเอง ทำให้เกมรุกของเอฟเวอร์ตันมีมิติที่หลากหลายมากขึ้น
แม้กรีลิชจะยังไม่ใช่นักเตะรุ่นใหญ่ แต่ด้วยประสบการณ์การเล่นในพรีเมียร์ลีกหลายปี รวมไปถึงการเป็นกัปตันทีมแอสตัน วิลล่าในอดีต ทำให้เขามีความเป็นผู้นำในสนาม เอฟเวอร์ตันที่กำลังต้องการแรงบันดาลใจและนักเตะที่สามารถยกระดับความมั่นใจของเพื่อนร่วมทีม จึงมองว่ากรีลิชคือหนึ่งในคำตอบที่เหมาะสมที่สุด
นอกจากฝีเท้าแล้ว การมีนักเตะชื่อดังอย่างกรีลิชอยู่ในทีมยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับสโมสร เอฟเวอร์ตันสามารถสร้างกระแสกับแฟนบอล ขยายฐานผู้สนับสนุน และดึงดูดสปอนเซอร์ใหม่ ๆ ได้ ซึ่งในยุคปัจจุบัน ปัจจัยทางธุรกิจมีความสำคัญไม่แพ้ผลงานในสนาม การมีนักเตะที่ทั้งฝีเท้าดีและมีชื่อเสียงย่อมเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ในระดับพรีเมียร์ลีก ทีมที่ประสบความสำเร็จต้องมีขุมกำลังที่ลึกและมีคุณภาพ เอฟเวอร์ตันไม่สามารถพึ่งพานักเตะเพียงไม่กี่คนได้อีกต่อไป การดึงกรีลิชเข้ามาจะช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้จัดการทีมในการจัดทัพและหมุนเวียนนักเตะ โดยเฉพาะในช่วงที่ทีมต้องเจอโปรแกรมหนักและถี่ การมีผู้เล่นคุณภาพสูงในหลายตำแหน่งถือเป็นความได้เปรียบอย่างมาก
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เอฟเวอร์ตันวางเป้าหมายการเซ็นสัญญา แจ็ค กรีลิช เป็นลำดับแรก ๆ ของซัมเมอร์ เพราะเขาไม่ใช่แค่ผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ แต่ยังสามารถเข้ามาเป็นหัวใจหลักในการเปลี่ยนโฉมทีมและยกระดับความสามารถของสโมสรให้ก้าวสู่การเป็นทีมที่แข็งแกร่งในพรีเมียร์ลีกได้
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ดีล แจ็ค กรีลิช กลายเป็นประเด็นร้อนในช่วงซัมเมอร์นี้ คือเรื่องของ เงื่อนไขค่าตัวและข้อตกลงระหว่างสโมสร ปัจจุบันเขายังมีสัญญาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ด้วยสถานการณ์ในทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นคุณภาพในตำแหน่งริมเส้น ทำให้โอกาสในการลงเล่นสม่ำเสมอของกรีลิชลดน้อยลง การย้ายไปยังเอฟเวอร์ตันแบบยืมตัวจึงเป็นทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ และเปิดโอกาสให้ทอฟฟี่สีน้ำเงินได้ใช้ฝีเท้าของเขาในฤดูกาลที่ผ่านมา
รายงานจากสื่ออังกฤษหลายแห่งระบุว่า แมนฯ ซิตี้ตั้งกรอบค่าตัวสำหรับการซื้อขาดกรีลิชไว้ที่ประมาณ 50 ล้านปอนด์ ตัวเลขนี้ถือว่าสูงมากสำหรับเอฟเวอร์ตันที่กำลังเจอปัญหาการเงินและข้อจำกัดด้านกฎการเงินของพรีเมียร์ลีก (FFP) แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเปรียบเทียบกับมูลค่าที่ซิตี้เคยจ่าย 100 ล้านปอนด์ให้แอสตัน วิลล่าเมื่อปี 2021 ตัวเลข 50 ล้านก็ถือว่าถูกลงกว่าครึ่ง
เอฟเวอร์ตันเชื่อว่ามีโอกาสที่จะกดราคาลงได้ต่ำกว่า 50 ล้านปอนด์ เนื่องจากปัจจัยหลายด้าน เช่น
อีกวิธีที่เอฟเวอร์ตันอาจใช้คือการเจรจาแบบผ่อนจ่ายหรือใส่เงื่อนไขโบนัสตามผลงาน เช่น จ่ายค่าตัวเริ่มต้น 35 ล้านปอนด์ และเพิ่มโบนัสตามจำนวนนัดที่ลงสนามหรือความสำเร็จของทีม วิธีนี้จะช่วยลดแรงกดดันทางการเงินในระยะสั้น และทำให้ดีลมีความเป็นไปได้มากขึ้น
แม้ค่าตัวจะเป็นอุปสรรคใหญ่ แต่ประเด็นค่าเหนื่อยก็เป็นสิ่งที่เอฟเวอร์ตันต้องจัดการอย่างระมัดระวัง ปัจจุบันกรีลิชได้รับค่าเหนื่อยระดับสูงจากแมนฯ ซิตี้ ซึ่งอาจเกินกว่าที่เอฟเวอร์ตันจะจ่ายไหว หากสโมสรต้องการปิดดีลนี้จริง ๆ ก็จำเป็นต้องเจรจาให้นักเตะยอมลดค่าเหนื่อย หรือหาวิธีการสนับสนุนเพิ่มเติมจากสปอนเซอร์
ในภาพรวม ดีลนี้ไม่ใช่เพียงการซื้อขายนักเตะธรรมดา แต่เป็นการลงทุนระยะยาวของเอฟเวอร์ตัน การตัดสินใจจ่ายเงินจำนวนมหาศาลในช่วงที่ทีมยังเผชิญความท้าทายด้านการเงิน ต้องอาศัยความกล้าและวิสัยทัศน์จากบอร์ดบริหาร หากพวกเขามองว่ากรีลิชสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของสโมสรได้จริง การลงทุนครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่า
ดังนั้น เงื่อนไขการซื้อขาดกรีลิชจึงเป็นเหมือนเกมหมากรุกที่เอฟเวอร์ตันต้องเดินอย่างรอบคอบ ต้องรู้จักใช้จังหวะในการต่อรอง หาทางออกที่เหมาะสมระหว่างความเป็นจริงด้านการเงินกับความฝันที่จะยกระดับทีมสู่แถวหน้าของพรีเมียร์ลีก หากพวกเขาประสบความสำเร็จในการเจรจา ดีลนี้จะถูกจารึกว่าเป็นหนึ่งในดีลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรเอฟเวอร์ตันเลยทีเดียว
การได้ตัว แจ็ค กรีลิช มาร่วมทีมแบบถาวร ไม่ได้หมายความว่าเอฟเวอร์ตันจะมีแค่นักเตะใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคน แต่ดีลนี้สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าของสโมสรได้หลายด้าน ทั้งในเชิงกีฬา ธุรกิจ และภาพลักษณ์โดยรวม ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นสามารถมองได้ดังนี้
ตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา เอฟเวอร์ตันถูกวิจารณ์ว่าขาดความสร้างสรรค์ในเกมรุก ทีมมักพึ่งพาการโยนบอลเข้ากรอบเขตโทษหรือหวังพลังจากกองหน้าตัวเป้าเป็นหลัก หากได้กรีลิช เขาจะเข้ามาเติมเต็มช่องโหว่นี้ทันที ด้วยความสามารถในการเลี้ยงบอลทะลุแนวรับ, การจ่ายบอลที่แม่นยำ, และการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม เกมรุกของเอฟเวอร์ตันจะมีมิติที่มากขึ้นและยากต่อการคาดเดาของคู่แข่ง
หนึ่งในผลกระทบโดยตรงคือกองหน้าอย่าง โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน จะได้รับประโยชน์มหาศาลจากการมีเพลย์เมกเกอร์ริมเส้นคุณภาพสูงอย่างกรีลิช สนามจะไม่ใช่พื้นที่ที่เขาต้องดิ้นรนทำเกมเพียงลำพังอีกต่อไป กรีลิชสามารถดึงแนวรับคู่แข่งออกจากตำแหน่ง เปิดพื้นที่ให้คัลเวิร์ต-ลูวินเข้าทำประตูได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนประตูของทีมได้โดยตรง
การมาของกรีลิชยังส่งผลด้านจิตวิทยาต่อทั้งผู้เล่นและแฟนบอล นักเตะในทีมจะได้แรงบันดาลใจจากการมีเพื่อนร่วมทีมที่มีชื่อเสียงและฝีเท้าระดับท็อป ส่วนแฟนบอลก็จะกลับมามีความหวังและศรัทธามากขึ้น การมีนักเตะระดับทีมชาติอังกฤษอยู่ในทีมช่วยสร้างแรงกระตุ้นเชิงบวกทั้งในห้องแต่งตัวและบนอัฒจันทร์
เอฟเวอร์ตันไม่ใช่ทีมที่มีฐานแฟนบอลระดับโลกเหมือนแมนฯ ยูไนเต็ด หรือ ลิเวอร์พูล แต่การได้กรีลิชมาอยู่ในทีมจะช่วยเพิ่มความสนใจจากสื่อและผู้สนับสนุน นักเตะรายนี้มีภาพลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักและมีแฟนคลับจำนวนมาก การขายเสื้อแข่ง, การดึงดูดสปอนเซอร์, และการขยายฐานแฟนบอลในต่างประเทศจึงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดีลนี้จึงไม่ได้ส่งผลเพียงในสนาม แต่ยังสร้างรายได้และเสริมความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
การมีผู้เล่นระดับกรีลิชอยู่ในทีม จะช่วยยกระดับคุณภาพโดยรวมของเอฟเวอร์ตัน และทำให้พวกเขาสามารถต่อกรกับทีมระดับกลางถึงบนของตารางได้ดีขึ้น หากผลงานของทีมพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้อง เป้าหมายการกลับไปเล่นฟุตบอลยุโรปในถ้วยเล็กอย่างยูโรป้าลีกก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม
เอฟเวอร์ตันเคยถูกมองว่าเป็นทีมที่พลาดการเสริมทัพหลายครั้งและใช้เงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ แต่การปิดดีลกรีลิชจะเปลี่ยนมุมมองนี้ทันที มันแสดงให้เห็นว่าสโมสรมีวิสัยทัศน์ กล้าที่จะลงทุน และจริงจังกับการยกระดับทีม การมีนักเตะดังย้ายเข้ามา ยังช่วยลบภาพลักษณ์ “ทีมหนีตกชั้น” และสร้างความมั่นใจให้กับผู้สนับสนุน
กล่าวโดยสรุป การได้กรีลิชไม่ใช่เพียงการซื้อขาย แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่จะสร้างผลกระทบทั้งในสนามและนอกสนามให้กับเอฟเวอร์ตันอย่างแท้จริง หากพวกเขาสามารถปิดดีลนี้ได้สำเร็จ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างทีมยุคใหม่ที่พร้อมจะกลับมาท้าทายทีมใหญ่ของพรีเมียร์ลีกในอนาคต
แม้การคว้าตัว แจ็ค กรีลิช จะถูกมองว่าเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของเอฟเวอร์ตัน แต่เส้นทางสู่การปิดดีลนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะยังเต็มไปด้วยอุปสรรคหลายด้าน ทั้งในแง่การเงิน การแข่งขันกับสโมสรอื่น และข้อจำกัดทางโครงสร้างการบริหารทีม
เอฟเวอร์ตันอยู่ในสภาวะที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับกฎการเงินของพรีเมียร์ลีก (Financial Fair Play – FFP) เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สโมสรลงทุนในตลาดซื้อขายอย่างต่อเนื่องแต่กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ส่งผลให้รายได้ไม่สมดุลกับค่าใช้จ่าย การทุ่มเงินมหาศาลเพื่อกรีลิชอาจทำให้ทีมเสี่ยงถูกตรวจสอบหรือถูกลงโทษ ดังนั้นบอร์ดบริหารจึงต้องหาวิธีสร้างสมดุลระหว่างการลงทุนเชิงกีฬาและความมั่นคงทางการเงิน
ถึงแม้แมนฯ ซิตี้จะตั้งกรอบค่าตัวไว้ที่ 50 ล้านปอนด์ แต่ตัวเลขนี้ก็ยังสูงมากสำหรับเอฟเวอร์ตัน ขณะเดียวกัน กรีลิชเองก็ได้รับค่าเหนื่อยในระดับสูงกับต้นสังกัดเดิม หากไม่มีการปรับลดหรือเจรจาใหม่ การดึงตัวเขามาแบบถาวรก็อาจเกินกำลังของสโมสร ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกหนึ่งความท้าทายใหญ่ที่เอฟเวอร์ตันต้องหาทางแก้ไข
กรีลิชไม่ใช่นักเตะที่มีมูลค่าเพียงกับเอฟเวอร์ตันเท่านั้น แต่ยังมีหลายทีมในพรีเมียร์ลีกและต่างประเทศที่จับตามองอยู่ โดยเฉพาะทีมที่ต้องการเสริมผู้เล่นริมเส้นคุณภาพสูง เช่น เชลซี, ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์, หรือแม้แต่สโมสรจากอิตาลีและสเปน หากทีมเหล่านี้ยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกว่า เอฟเวอร์ตันอาจเสียเปรียบทันที
แม้กรีลิชอาจต้องการลงเล่นมากขึ้น แต่เขาเองก็ยังคงเป็นผู้เล่นที่มีความทะเยอทะยาน ต้องการลงสนามในถ้วยยุโรปและท้าทายแชมป์ หากเอฟเวอร์ตันไม่สามารถรับประกันได้ว่าทีมจะมีโอกาสลุ้นพื้นที่ยุโรปในระยะสั้น การโน้มน้าวให้กรีลิชเซ็นสัญญาถาวรอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
หากเอฟเวอร์ตันทุ่มเงินมหาศาลเพื่อกรีลิช แต่ผลงานในสนามกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ความกดดันจากแฟนบอลและสื่อก็จะถาโถมใส่ทีมทันที นี่คือความเสี่ยงที่สโมสรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะในอดีตเอฟเวอร์ตันเคยมีประสบการณ์พลาดท่ากับดีลใหญ่ ๆ ที่ไม่คุ้มค่า
นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว โครงสร้างการจัดการทีมเองก็มีผล หากเอฟเวอร์ตันยังไม่สามารถสร้างเสถียรภาพทั้งในระดับบอร์ดบริหารและทีมงานผู้ฝึกสอน ความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจทำให้กรีลิชลังเลที่จะตัดสินใจย้ายมาแบบถาวร
การที่เอฟเวอร์ตันวางเป้าหมายคว้าตัว แจ็ค กรีลิช แบบถาวร ไม่ใช่แค่การเสริมทัพเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้น แต่เป็นการวางหมากทางกลยุทธ์ที่อาจเปลี่ยนอนาคตสโมสรได้ในหลายมิติ ทั้งเชิงกีฬา เศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ โดยสามารถวิเคราะห์ออกมาเป็นประเด็นสำคัญดังนี้
แม้ค่าตัวกรีลิชอาจสูงถึง 50 ล้านปอนด์ แต่หากมองในแง่การลงทุนระยะยาว ดีลนี้ถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง นักเตะวัย 29 ปียังอยู่ในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง และมีประสบการณ์ในพรีเมียร์ลีกอย่างโชกโชน หากได้ลงเล่นต่อเนื่อง เขายังสามารถสร้างผลงานที่ดีได้อีกหลายฤดูกาล การซื้อขาดจึงเป็นการลงทุนที่สามารถตอบแทนได้ทั้งในสนามและนอกสนาม
เอฟเวอร์ตันต้องการสร้างทีมที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนและสามารถแข่งขันได้กับสโมสรระดับกลางถึงบนของตาราง การได้กรีลิชจะช่วยเป็นแกนหลักของแผนการสร้างทีมในระยะยาว และยังช่วยดึงดูดนักเตะรายอื่นให้สนใจย้ายมา เพราะการมีสตาร์ดังอยู่ในทีมถือเป็นแม่เหล็กสำคัญในการเสริมทัพครั้งต่อ ๆ ไป
อย่างไรก็ตาม การลงทุนครั้งใหญ่ย่อมมาพร้อมความเสี่ยง เอฟเวอร์ตันจำเป็นต้องจัดการการเงินอย่างระมัดระวัง เช่น อาจใช้วิธีการแบ่งจ่ายเป็นงวด หรือตั้งเงื่อนไขโบนัสตามผลงาน เพื่อไม่ให้เกิดภาระหนักเกินไป อีกทั้งต้องหาทางเพิ่มรายได้จากการตลาด การขายตั๋ว และการดึงสปอนเซอร์ใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริม ซึ่งกรีลิชเองก็เป็นนักเตะที่สามารถสร้างมูลค่าทางการตลาดได้สูง
กรีลิชเป็นนักเตะที่เหมาะกับแผนการเล่นที่ต้องการการครองบอลและการสร้างสรรค์เกมจากริมเส้น หากผู้จัดการทีมสามารถปรับระบบให้เข้ากับสไตล์ของเขา เอฟเวอร์ตันจะได้ประโยชน์สูงสุด แต่หากใช้ผิดวิธีหรือต้องเปลี่ยนโค้ชบ่อย ๆ ความเสี่ยงที่จะไม่คุ้มค่ากับการลงทุนก็มีสูงเช่นกัน กลยุทธ์สำคัญจึงอยู่ที่การสร้างเสถียรภาพในแนวทางการทำทีม
ในเชิงกลยุทธ์ การดึงนักเตะระดับกรีลิชมาได้ ถือเป็นการส่งสัญญาณไปยังวงการฟุตบอลว่ามาตรฐานของเอฟเวอร์ตันกำลังเปลี่ยนไป สโมสรไม่ได้ต้องการเป็นเพียงทีมหนีตกชั้นอีกต่อไป แต่พร้อมก้าวสู่การเป็นทีมที่มีความทะเยอทะยานในการลุ้นพื้นที่ยุโรปและสร้างความยิ่งใหญ่ใหม่ในพรีเมียร์ลีก
ดีลการคว้าตัว แจ็ค กรีลิช แบบถาวรจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือแผนงานที่แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของสโมสรเอฟเวอร์ตันอย่างชัดเจน ในมุมหนึ่ง นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งเรื่องการเงิน การแข่งขันกับสโมสรอื่น และความไม่แน่นอนในอนาคตของทีม แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่คือโอกาสครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนสถานะของเอฟเวอร์ตันจากทีมที่ถูกมองว่า “หนีตกชั้น” ไปสู่ทีมที่มีความหวังในการกลับมาลุ้นพื้นที่ยุโรป
เมื่อมองในเชิงกีฬา การได้กรีลิชหมายถึงการเพิ่มมิติใหม่ในเกมรุก เอฟเวอร์ตันจะไม่ใช่ทีมที่พึ่งพาการโยนบอลแบบตรงไปตรงมาอีกต่อไป แต่จะมีนักเตะที่สามารถเลี้ยงกินตัว ดึงดูดกองหลัง และสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมได้หลากหลาย นี่คือสิ่งที่สโมสรขาดหายไปตลอดหลายปี และเป็นปัจจัยที่อาจช่วยปลดล็อกศักยภาพของผู้เล่นคนอื่น ๆ โดยเฉพาะกองหน้าอย่างคัลเวิร์ต-ลูวิน
ในเชิงธุรกิจ ดีลนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เอฟเวอร์ตันไม่ใช่ทีมที่มีฐานแฟนบอลทั่วโลกเหมือนยักษ์ใหญ่ แต่การมีนักเตะดังระดับกรีลิชอยู่ในทีมจะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดให้กับสโมสร ทั้งในด้านการขายตั๋ว, การขายสินค้า, และการหาสปอนเซอร์ใหม่ ๆ ผลลัพธ์ที่ได้อาจช่วยสร้างสมดุลทางการเงิน และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว
แน่นอนว่าดีลนี้ไม่ได้ง่าย เอฟเวอร์ตันต้องเจอทั้งอุปสรรคจากค่าตัวที่สูงถึง 50 ล้านปอนด์ ความกดดันจากกฎการเงินพรีเมียร์ลีก และการแข่งขันจากสโมสรอื่น ๆ ที่พร้อมแย่งตัวกรีลิช แต่หากบอร์ดบริหารสามารถหาทางออกที่สร้างสรรค์ เช่น การเจรจาผ่อนจ่าย การใช้โบนัสตามผลงาน หรือการโน้มน้าวนักเตะด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน โอกาสในการปิดดีลก็ยังคงมีอยู่
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การตัดสินใจครั้งนี้จะสะท้อนถึงทิศทางในอนาคตของเอฟเวอร์ตัน หากพวกเขากล้าที่จะลงทุนและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ สโมสรอาจเปลี่ยนสถานะและกลับมามีบทบาทสำคัญในพรีเมียร์ลีก แต่หากพลาด นี่อาจกลายเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นความล้มเหลวในการเสริมทัพครั้งใหญ่
ดังนั้น มุมมองสุดท้ายคือ ดีลกรีลิชไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของ ตลาดซื้อขายนักเตะ การซื้อขายนักเตะ แต่คือ “การตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์” ที่จะกำหนดอนาคตของสโมสรเอฟเวอร์ตันในอีกหลายปีข้างหน้า หากทำได้สำเร็จ นี่จะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้แฟนบอลได้กลับมาฝันอีกครั้ง ว่าวันหนึ่งทอฟฟี่สีน้ำเงินจะไม่ใช่เพียงทีมที่ดิ้นรนเอาตัวรอด แต่จะกลายเป็นทีมที่สามารถท้าทายคู่แข่งระดับท็อปได้อย่างภาคภูมิ ข่าวกีฬาพรีเมียร์ลีก วิเคราะห์ตลาดซื้อขายพรีเมียร์ลีกที่ tuna56